เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธนะ เราชาวพุทธเรามีศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วก็ศาสนาประจำตน แล้วคนที่ไม่มีศาสนาล่ะ? ถ้าเป็นชาวพุทธต้องบังคับให้เราเป็นชาวพุทธหรือ? เป็นชาวพุทธเพราะอะไร? เพราะว่าบรรพบุรุษท่านเห็นคุณประโยชน์ เห็นประโยชน์นะ แล้วนี่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

คำว่าประจำชาติเป็นความรู้สึกกัน เป็นความยอมรับ เพราะคนเป็นผู้ถือพุทธศาสนาจำนวนมากกว่า แต่เป็นคนไทยนับถือศาสนาอะไรก็ได้ รัฐธรรมนูญบอกว่าสิทธิความเชื่อ สิทธิการนับถือศาสนาจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ จะไม่นับถือศาสนาก็ได้ ถ้าไม่นับถือศาสนา เวลากรอกในทะเบียนบ้านจะกรอกว่านับถือศาสนาอะไร? เห็นไหม ไม่นับถือศาสนาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธนะ

แต่ถ้าเราเป็นพุทธ พุทธศาสนา เวลาพวกฝ่ายปกครองเขาเอาศาสนามาทำอะไร? นี่ศาสนารับใช้อะไร? รับใช้การปกครอง รับใช้การขูดรีด รับใช้การกดขี่ เอาศาสนาไปใช้อย่างนั้นหรือ? ถ้าเอาศาสนาไปใช้อย่างนั้น เขาใช้เพื่อประโยชน์ของเขา แต่ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาแห่งปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมาร

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอเป็นนายช่างเรือน”

เยาะเย้ยมารนะ มารนี่เป็นนายช่างเรือน สร้างเรือนสร้างรังอยู่ตลอดเวลา สร้างเรือนสร้างรัง เห็นไหม มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอเป็นนายช่างใหญ่ นายช่างใหญ่ความคิด นี่นายช่างใหญ่สร้างความทุกข์ สร้างความวิตกกังวล สร้างสิ่งต่างๆ ให้กับชีวิตเราทั้งหมดเลย

สร้างให้เรานะ มารนี่สร้างให้เรา แล้วเรานับถือศาสนาพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารนะ แต่เราใช้กิเลสของเรา ใช้กิเลส ใช้ตัณหาความทะยานอยากไปนับถือศาสนา เอามือสกปรกนี่นะไปหยิบสิ่งที่สะอาด อย่างไรมันก็สะอาด เห็นไหม ศาสนานี้ถึงเป็นศาสนาแห่งประเพณีวัฒนธรรม ถ้าประเพณีวัฒนธรรมนะเพื่อความสงบร่มเย็นในศาสนา

นี่ถ้ามีความสงบร่มเย็นในศาสนา เพราะศาสนาสอนให้เสียสละ สอนให้เมตตา สอนให้เสียสละ สอนให้เมตตาตน เมตตาคนอื่น เมตตาทุกๆ คน ความเมตตา เห็นไหม ถ้าเรามีเมตตาสังคมจะร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ จะมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติในอะไร? ประพฤติปฏิบัติเพื่อทำลายนายช่าง

เปรียบนายช่างนะ ความติดคำว่าช่าง เห็นไหม นายช่างตีเหล็ก เหล็กนี่เหล็กแหนบ เหล็กแท่ง เหล็กต่างๆ เขาตีเป็นมีด เขาตีเป็นอาวุธ เขาตีเป็นเครื่องใช้สอย การตีเป็นเครื่องใช้สอย เหล็กเขาจะตีได้เขาต้องเผาไฟให้แดงๆ เขาถึงจะเอาเหล็กนั้นมาตี นายช่างเอาเหล็กทั้งดุ้นแล้วก็จะเอาไปทำนั่นทำนี่ เอาเหล็กตีใส่หน้าผากตัวเองไม่รู้ตัว เอาเหล็กตีใส่หน้าผากนะคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีปัญญา เอาปัญญาของเรามาคิด นี่ทุกคนว่าเป็นปัญญา ถ้ายังไม่มีความสงบของใจขึ้นมาก่อนนะ เหล็กทั้งท่อนทำอะไรได้?

เหล็กทั้งท่อนนะเขาเอามามันขวางไปหมดเลย เหล็กนี่เขาต้องเอามาดัด เอามาแปลง เอามาทำสิ่งต่างๆ จะดัดแปลงมันก็ต้องมีเครื่องมือดัดแปลงเหล็กนั้น เครื่องมือเอามาเชื่อม เอามาต่อ เอามาตัด ตัดขึ้นมาเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ถ้าเอามาเชื่อม เอามาต่อ เอามาตัด แล้วความคิดเราล่ะ? เห็นไหม ถ้าเป็นนายช่างใหญ่ มันเอาแต่ความทุกข์มาให้เรา มันตัดมันต่อสิ่งที่เป็นความทุกข์ในหัวใจเรานะ มันไม่ได้ตัดไม่ได้ต่อเพื่อเป็นธรรมะ ถ้ามันตัดมันต่อเพื่อธรรมะเรามองไม่ออกไง เรามองไม่ออก เรามองไม่เป็น เรามองจากอวิชชา เรามองจากความรู้สึกของเรา ถ้าเป็นประโยชน์ของเรา เราต้องเป็นฝ่ายได้

นี่การเสียสละ ผู้ที่เสียสละออกไป เราเป็นผู้เสียเราจะได้อะไรขึ้นมา การเสียสละออกไป ทำไมเราให้ของลูกเรา เราให้ของญาติพี่น้องเรา ทำไมเรามีความสุขใจล่ะ? ในเมื่อญาติพี่น้องเราได้รับสิ่งของจากเราไป ได้รับของขวัญ เราเอาของขวัญให้เขาทำไม? ให้ของขวัญเพื่อประโยชน์กับเขา เราให้ชีวิตเขา ให้ความดูแลเขา ให้ทุกๆ อย่าง นี่ให้เขา ให้เขามันเป็นความสุข สิ่งที่เป็นความสุข ความสุขเพราะเราได้ทำสมความปรารถนา ความปรารถนาเพราะเรารักเขา แล้วถ้าเราโกรธเขาล่ะ? เราโกรธเขาเราก็ทำลายเขา เราจะทำลายเขา เราจะกลั่นแกล้งเขา เราจะทำให้เขาได้รับความเจ็บปวด นี่นายช่างเรือน

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ? เป็นธรรม เห็นไหม นี่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ในโลกก็เหมือนกัน ความรัก รักตนประเสริฐ ไม่มีใครรักสิ่งใดมากกว่ารักชีวิตของเรา รักตนนะ รักชีวิตของเรา แต่เวลามีความทุกข์ขึ้นมามันทำลายชีวิตเลย ทำลายสิ่งที่รัก ทำลายสิ่งที่เราได้มาด้วยบุญกุศล แต่ถ้าเป็นธรรมนะมันจะทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ได้ทำลายตน

ไม่ได้ทำลายเรานะ ไม่ได้ทำลายชีวิต ไม่ได้ทำลายอะไรเลย ทำลายสิ่งที่ช่างเรือนมันแฝงมากับความรู้สึกเรา มันแฝงมากับความรู้สึกเราแล้วเราต้องทำลายมัน แล้วอาวุธที่ทำลายมัน เห็นไหม สิ่งนี้ ดูสิอาวุธที่เขาทำลาย เขาทำสิ่งนั้นบุบสลาย สิ่งนั้นต้องทำลายไป ต้องเสียหายไป แต่เวลาเราชำระกิเลส ยิ่งทำลายยิ่งสะอาดยิ่งบริสุทธิ์ เพราะอะไร? เพราะมันสว่างไสว มันมีความสุข มันวิมุตติสุข ทำไมยิ่งทำลายมันยิ่งเจริญล่ะ?

การทำลายแล้วเจริญ เจริญคือทำลายกิเลส เพราะธรรมะมันเจริญในหัวใจของเรา ถ้าธรรมะเจริญในหัวใจของเรา นี่เอาอะไรไปทำ? เราจะปฏิบัติกันแต่เราไม่มีอาวุธ เราไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมาจากไหน? ศีลก็มาจากบังคับตน บังคับตนก็บังคับไม่ได้ ทุกข์ อะไรก็ไม่ดี อะไรก็ไม่เป็นใจ แล้วสิ่งที่สุขสบายก็นายช่างเรือนไง กิเลสไง มันจะเอาแต่ความพอใจของมันไง แล้วถ้าเอาความพอใจของมัน อันนั้นมันเป็นอะไร? ก็นายช่างเรือนไง มันสร้างเรือนต่อไป สร้างอารมณ์ความรู้สึก สร้างทิฐิมานะ สร้างตัณหาความทะยานอยาก สร้างสิ่งที่เหยียบย่ำหัวใจ

นี่แล้วบอกเป็นธรรมนะ ศึกษาธรรมมาได้กระดาษมาคนละแผ่น ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค กระดาษคนละแผ่นเอามาโชว์กันนะ แล้วถ้ามีวุฒิภาวะ วุฒิภาวะก็บาลีไง พระพุทธเจ้าว่าไว้อย่างนั้น ว่าไว้อย่างนั้น

พระพุทธเจ้าว่า ไม่ใช่ธรรมะว่า ไม่ใช่หัวใจเราว่า ถ้าเป็นธรรมะนะเราว่า เราฟุ้งซ่าน เราสงบ เรามีปัญญา เราบังคับตัวเราได้ เรารู้จักตัวเราได้ เราชำระกิเลสของเราได้ เราชำระตัณหาความทะยานอยากในใจของเราได้

เราว่า เพราะเราว่า เราเห็น เราเป็นนายช่างตีเหล็ก ถ้าเป็นนายช่างตีเหล็กมันเป็นมรรค เป็นมรรคขึ้นมา จิตเป็นมรรคขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะเราฝืนตนได้ เราบังคับตนได้ เราเอาตน เอาความรู้สึกของเราเอาไว้ในอำนาจของเราได้ ความคิดนี่ ความที่มันไม่พอใจเราบังคับมันได้ เราบัญชาการมันได้ เห็นไหม เหล็กทั้งดุ้น เหล็กทั้งแท่ง เขาตีเป็นอาวุธ เขาตีเป็นสิ่งที่เอามาอยู่ในครัวเรือนของเรา เอามาทำอาหารให้เรากินนะ เราใช้เครื่องครัวทำอาหารขึ้นมาเพื่อดำรงชีวิตนี้

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นสมาธิ เป็นปัญญา มันเป็นของเรา มันเป็นความสุขของเรา มันเป็นความรู้สึกของเรา แล้วเอาความรู้สึกอันนี้ไปจับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอาศัยความรู้สึกของเรานะ ความรู้สึก ความคิดทั้งหมดมันไม่ใช่กิเลส นี่ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่กิเลส มันเป็นสสาร มันเป็นธาตุ แต่มันเป็นกิเลสเพราะตัณหาความทะยานอยาก พอใจและไม่พอใจ ปรารถนาและไม่ปรารถนา สมหวังและไม่สมหวัง นั้นคือกิเลส

สิ่งที่มากับความคิดมันถึงเป็นกิเลส แต่ตัวความคิดไม่ใช่กิเลส ตัวความคิดไม่ใช่กิเลส ตัวความคิดเป็นความคิดเฉยๆ เพราะพระอรหันต์ก็มีความคิด ความคิดที่สะอาดบริสุทธิ์มันไม่มีกิเลส แล้วมีกิเลส ทำลายกิเลส เห็นไหม นี่อาวุธที่จะไปทำความคิดให้มันสะอาด ทำความคิดสะอาดบ่อยครั้งเข้ามาๆ เป็นสัมมาสมาธิ พอสมาธิเกิดขึ้นมาแล้วมันจะย้อนเข้าไปถึงตัวของมันนะ ถ้าตัวของมันนั่นคือตัวใจ ถ้าไปทำลายหัวใจ ถึงที่สุดแล้วต้องไปทำพลังงานให้สะอาดด้วย

ความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดสะอาดขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอน นี่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในเรื่องร่างกาย ความเห็นผิดเรื่องความคิด ความคิดเห็นผิดในความคิด ฟังแล้วงงไหม? ความคิดของเรานี่แหละ คิดอะไรออกไปก็แล้วแต่ แล้วมันมีความคิดซ้อนมาไง เราคิดดี คิดเลว คิดชั่ว ความคิดมันไล่ความคิดมา นี่ไง นี่ความคิดที่มันทำลายความคิด เห็นไหม

ความคิดอันหนึ่งเป็นความคิดทางโลก ความคิดอันหนึ่งเป็นความคิดของนายช่างเรือน แล้วเราสร้างความสะอาดบริสุทธิ์ สร้างสิ่งให้จิตมันเป็นสมาธิขึ้นมา สมาธิขึ้นมานี่เป็นความสะอาด แล้วความคิดที่สะอาดเกิดขึ้นมาเป็นมรรค นี่ระหว่างความคิดกับความคิดต่อสู้กัน ต่อสู้กัน ทำลายกัน การทำลายกัน มันการทำลายกันระหว่างธรรมะกับกิเลส มันวิปัสสนากัน มันทำลายกัน

นี่มันมีวิธีการ มันมีเครื่องมือ เครื่องมือที่จะไปทำลายให้นายช่างเรือนเป็นฝ่ายมรรค เป็นฝ่ายมรรค เห็นไหม นี่ถ้ามีทิฐิความเห็นที่ผิด เราทำให้มันสะอาดขึ้นมาเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เพราะกามราคะ ถ้ามันถูกใจเรากามราคะจะเกิด สิ่งที่ผิดใจเรา สิ่งที่เศร้าหมอง สิ่งที่ขัดแย้งกับใจเรา เราเกิดกามไม่ได้หรอก เราไม่ชอบหรอก สิ่งที่ชอบคือความพอใจนะ เราพอใจ เราปรารถนา เราแสวงหามันถึงจะชอบ ชอบนั่นแหละเป็นกามฉันทะ กามฉันทะคือความพอใจ ความพอใจเป็นเหมือนกับอุเบกขาตัวกลาง อุเบกขามันจะลงดีและชั่ว

ถ้ามันมีความพอใจ ความพอใจของใจ ความพอใจของมันก็เป็นยางเหนียว ยางเหนียวมันก็ไปเกาะเขา มันก็ไปต้องการเขา มันก็ไปปรารถนาเขา กามราคะมันก็เกิด แต่ถ้ามันทันความรู้สึก เห็นไหม นี่ความคิดมันถึงไม่ใช่จิต ทำลายความคิด ทำลายข้อมูล ทำลายสิ่งที่มันมีข้อมูล มีสิ่งเทียบเคียงมันถึงพอใจ ถ้าไม่มีข้อมูล สิ่งที่มันเทียบเคียงกับความพอใจ เอาความพอใจมาจากไหน? กามฉันทะมันไม่มี มันทำลายกามฉันทะคือความพอใจ คือสิ่งที่เป็นกลางในหัวใจ สิ่งที่เป็นกลางในหัวใจที่สุดแล้วมันถึงเป็นพลังงานเปล่าๆ พลังงานเปล่าๆ เป็นอวิชชา

นี่ไงอวิชชา มารตัวมันเป็นอย่างไร? มารมันตัวใหญ่โตขนาดไหน? มารมันเป็นพลังงาน พลังงานสิ่งที่เป็นตัวเรา พร้อมกับความไม่เข้าใจของมัน นี่ความไม่เข้าใจ เรานะเรามีลูกหลานต่างๆ ที่มันมีความเห็นผิด ที่มันประพฤติตนที่ไม่ดี เราพยายามสั่งสอนเขาเถอะ สั่งสอนอย่างไรเขาก็ไม่รู้ เขาก็ไม่ฟัง นี่สั่งสอนข้างนอกนะ แล้วสิ่งนี้มันเป็นความรู้สึกของเราเอง แล้วความรู้สึกของเรามันไม่เข้าใจตัวมันเอง มันไม่รู้สึก มันไม่เข้าใจ เพราะมันเป็นอวิชชา

อวิชชามีพลังงานอยู่ คือไม่รู้ พลังงานที่ไม่รู้งงไหม? รู้แต่ไม่รู้ รู้ในตัวมันเอง รู้ในความรับรู้ รู้ในสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่มันไม่รู้จักอะไรดี อะไรชั่ว ไม่รู้จักอะไรเลย มันเป็นพลังงาน ที่เป็นอวิชชา นี่สิ่งนี้ย้อนกลับไป นายช่างใหญ่ ถ้าเข้าไปทำลายนายช่างใหญ่ด้วยมรรคญาณ เห็นไหม มันมีมรรคญาณ มีสิ่งที่กระทำ ไม่ใช่เรามาอยู่เฉยๆ นะ เหมือนกับมีเงิน ใช้สอยให้มันหมดไปแล้วบอกว่าเราว่าง เราเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ ใช้จ่ายไปจนหมดตัวมันไม่ใช่พระอรหันต์หรอก มันเป็นคนทุกข์ คนเข็ญใจ เพราะมันไม่มีเงินจะใช้ต่อไป

ความคิดใช้หมดไป พยายามลบล้างให้มันว่าง ทำให้มันว่างแล้วบอกเป็นมรรคเป็นผล ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก มันต้องสะสม สะสมสมาธิขึ้นมาจนจิตนี้มันตั้งมั่น จิตนี้เป็นสมาธิ จิตนี้ตั้งมั่น แล้วมีความเพียรชอบในการแยกแยะ ในการทำลาย ในการต่อสู้ในฝ่ายมรรคเข้าไปทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันมีการกระทำ แต่ความเข้าใจผิดของเรา เห็นไหม เพราะเราเข้าใจผิดโดยความเห็นของกิเลส

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่เป็นปัญญาของครูบาอาจารย์ เป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา รู้จริง เห็นจริง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา นี่เป็นเรื่องของสภาวะ แต่ถ้าเป็นเรื่องความจริง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็เกิดขึ้นมาจากใจของเรา แล้วมันดับไปเป็นธรรมดา ถ้าเราไม่มีสิ่งใดไปกระทำมัน มันก็ดับไปโดยไม่มีใครได้ผลประโยชน์

แต่ถ้ามีจิต มีความรู้สึกของเรา เห็นการเกิด เกิดเป็นธรรมดา ถ้ามันไม่ธรรมดามันก็ทุกข์ ถ้ามันมีตัณหาความทะยานอยากมันก็ไม่ธรรมดา มันอยากรั้งไว้ มันมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่กิเลสมันไม่ยอมรับเป็นธรรมดา มันก็ไปยึดไปมั่นเขา แต่ถ้าเราใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้าไปนะมันเกิดเป็นธรรมดา สภาวะเป็นธรรมดาเพราะกิเลสตัณหาไปยึดไปมั่นมัน ถ้ากิเลสตัณหาไปยึดไปมั่นมันแล้วก็เห็นความเป็นไป เราโง่เอง เราไปตะครุบเงาเอง เราไปตะครุบสิ่งที่มันเป็นสภาวะที่มันเป็นไป มันไม่ธรรมดาเพราะเราไปติดยึดมัน เราไปติดยึดมัน ถ้ามีปัญญาใคร่ครวญมันไม่ธรรมดาหรอก

เจ็บเป็นธรรมดาไหม? หิวเป็นธรรมดาไหม? ทุกข์เป็นธรรมดาไหม? จริงๆ มันธรรมดาเพราะสภาวะ แต่เพราะเราพอใจและไม่พอใจมันเลยไม่ธรรมดา แล้วปัญญามันไล่เข้าไปจนเห็นทัน เห็นทันมันก็ปล่อย สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา นี่รู้จริงเข้ามันก็ปล่อยความรู้สึก นี่สัมมาทิฏฐิมันเกิดขึ้น นี้คืออาวุธไง นี้คือสิ่งที่เราทำไง

ฉะนั้นนี่ถ้านายช่างมันต้องนายช่างที่เป็น ถ้านายช่างที่เป็นมันเป็นมรรคญาณ ถ้านายช่างโดยกิเลสนะมันก็อ้างธรรมะ เห็นไหม มีเท่าไหร่ก็ผลักไส ผลักไสออกไป ปฏิเสธมัน นี่ไม่ยอมรับรู้มัน ว่างๆ ไม่ยอมรับรู้ มันไม่เข้าใจ มันเป็นการปฏิเสธ มันเป็นการหินทับหญ้าไว้ มันเป็นการไม่ยอมรับรู้ แล้วว่าเป็นความว่าง ว่างด้วยความไม่รับรู้ ไม่ใช่ว่างด้วยธรรม

ถ้าว่างด้วยธรรมมันว่างรู้แจ้ง ว่างรู้แจ้ง พอมันทำความสะอาดแล้ว สิ่งที่สะอาดแล้วจะสกปรกอีกได้ไหม? ของที่สะอาดจะสกปรกอีกไม่ได้เลย เว้นไว้แต่ร่างกายของเรา ทำความสะอาดขนาดไหนมันก็ขับเหงื่อไคลออกมาตลอด นี่ถ้าจิตมันสะอาดแล้ว ความคิดมันสะอาด มันสะอาดมันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นอฐานะ มันจะแปรปรวนอีกไม่ได้

นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนานี้ทางฝ่ายปกครอง ทางฝ่ายรัฐบาล เขาเอามาใช้เพื่อประโยชน์อะไร? ใช้เพื่อประโยชน์ความร่มเย็นของสังคม ใช้เพื่อประโยชน์เพื่อมารับใช้อำนาจรัฐ รับใช้ต่างๆ แต่เราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นอิสรเสรีภาพ รัฐธรรมนูญให้สิทธิความเป็นมนุษย์ ศาสนานี่เราเอามารับใช้ชีวิตของเรา ศาสนานี่เอามาแก้ไข เอามาแก้ไขความเป็นอวิชชา ความไม่รู้จริง ความที่มันต้องเวียนตายเวียนเกิด เอาศาสนาเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับหัวใจ

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

นี่ธรรมเข้าครองใจของดวงใจใด ดวงใจนั้นจะมีความสุขขึ้นมาในหัวใจ ดวงใจนั้นจะไม่เร่าร้อน ไม่ทุกข์ร้อน ไม่วิ่งเต้นถามหาว่านั้นเป็นอะไร? นั้นเป็นอะไร? เรารู้แจ้งแล้วจะไม่ถามใครเลย จะรู้แจ้งในหัวใจแล้วอยู่สงบ อยู่ที่ไหนก็สงบร่มเย็น จะโคนไม้ จะตึกเรือนบ้านช่องที่ไหน ถ้าใจดี ใจสงบ อยู่ที่ไหนก็สงบ ถ้าใจมันร้อน อยู่บนกองน้ำแข็ง อยู่บนยอดเขาน้ำแข็งมันก็ร้อน น้ำแข็งมันเย็นแต่ใจมันร้อน ใจมันทุกข์

ถ้าใจมันดี เห็นไหม นี่ศาสนารับใช้ชีวิต เอาศาสนามารับใช้ชีวิต เอาศาสนาคือเอาอาวุธ เอาธรรมาวุธ เอาสิ่งที่เป็นสติปัญญามารับใช้หัวใจแล้วแก้ไขมัน ใคร่ครวญมัน แล้วเราจะเป็นชาวพุทธแท้ด้วยความเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ใช้ธรรม รู้จักธรรม เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เอวัง